วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

10 เรือผี



เรือผีในที่นี้มีความหมายว่าเรือผีสมมุติหรือเรือที่พบว่าลอยคว้างโดยปราศจากลูกเรือที่จู่ๆ ก็หายไปหมดอย่างลึกลับ โดยไม่รู้ชะตากรรมว่าพวกเขาเป็นหรือตาย ซึ่งความหมายดังกล่าวไม่ได้รวมเรือที่เป็นภูตผีวิญญาณสิงสู่ เช่นเรือควีน แมรี่(Queen Mary) หรือ ยูเอสเอส  ฮอร์เน็ต (USS Hornet)
เรือผีหรือเรือปีศาจนั้นยังคงเป็นตำนานสยองขวัญของนักเดินเรืออย่างไม่เสื่อมคลาย รูปแบบการปรากฏตัวของมันนั้นหลากหลาย บางครั้งพวกมันก็ปรากฏรูปของเรือขนาดใหญ่ต่อหน้าคนหลายคนได้พบเห็นก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ก็ยังมีเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมายที่เกิดขึ้นกับเรือขนาดใหญ่ที่เราไม่สามารถหาคำตอบได้ และนี้คือ ๑๐ อันดับเรือผีที่โด่งดังของโลก


           อันดับ ๑๐ เรือคาร์โรลล์ เอ.เดียริ่ง(Carroll A.Deering)
           เรือคาร์โรลล์ เอ.เดียริ่ง เป็นชื่อเรือใบซคูเนอร์ขนาดใหญ่ ๕ เสา ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นเรือพาณิชย์ และถูกพบเกยตื้นในแหลม Hatteras ทางทิศเหนือของรัฐนอร์ทแคโรไลนา เมื่อปี ๑๙๒๑ ซึ่งลูกเรือทั้งหมดหายไปอย่างลึกลับซึ่งหลายคนเชื่อว่าและลูกเรือลำนี้ เป็นเหยื่อของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา


              หลังจากเรือออกจากกรุงรีโอ เดอ จาเนโร จู่ๆ เรือก็ขาดการติดต่อ และได้หายไปอย่างร่องรอย ก่อนที่จะปรากฏตัวเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๑๙๒๑ จากการตรวจสอบพบว่าลูกเรือบนเรือทั้งหมดหายไปอย่างลึกลับ อุปกรณ์หลายชิ้นบนเรือยังใช้ได้แต่อุปกรณ์นำทางและสมุดจดรายการต่างๆ หายไป ในห้องครัวของเรือปรากฏว่าอาหารบางอย่างได้ถูกเตรียมไว้สำหรับมื้ออาหารในวันถัดไปแต่ถูกยกเลิกกลางคันเสียก่อน สุดท้ายเรือลำนี้ก็ถูกปลดและถูกทำลายโดยระเบิดเพื่อป้องกันในการนำมันมาใช้งานอีกครั้ง แต่ปริศนาคนหายในเรือนี้ยังคงถูกกล่าวขานต่อไป

อันดับ ๙ เรือเบย์ชิโม่(The Baychimo)


เรือเบย์ชิโม่เป็นเรือที่สร้างขึ้นในสวีเดนในปี ๑๙๑๔ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขนส่งขนเกาะไปตามเส้นทางระหว่างแคนาดาและอลาสก้า ดังนั้นเรือดังกล่าวจึงออกแบบแข็งแกร่งเป็นพิเศษเพื่อทนต่อสภาพอากาศและสภาพท้องทะเลแถบขั้วโลกเหนือที่เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็ง จนกระทั้งในเดือนตุลาคม ๑๙๓๑ เรือเบย์ชิโม่ก็ถูกขังอยู่ในผืนก้อนน้ำแข็งใกล้อลาสก้าและหลังจากพยายามใช้วิธีมากมายในการแก้ปัญหาดังกล่าว สุดท้ายทั้งหมดก็ล้มเหลว ทำให้กัปตันและลูกเรือตัดสินใจที่จะออกจากพื้นที่ โดยทิ้งเรือท่ามกลางพายุหิมะที่หนาวจัด และเมื่อกลับมาดูอีกทีก็พบว่ามันหายไป คาดว่ามันคงจมสู่ก้นทะเลไปแล้ว
หากแต่ในเวลาต่อมาก็มีคนเห็นเรือเบย์ชิโม่ลอยไปมารอบๆ ชายฝั่งของแคนาดาและอลาสก้า ก่อนที่จะหายไปทุกครั้งอย่างไร้ร่องรอยเมื่อทีมกู้เรือมาถึง  หลายครั้งที่หลายคนเห็นมันมักติดผืนน้ำแข็งก่อนที่จะหายไปเมื่อละสายตา จนมันถูกเรียกขานว่า “เรือปีศาจแห่งอาร์กติก” ครั้งสุดท้ายที่มันปรากฏคือปี ๑๙๖๙  ในสภาพที่มันกำลังหลุดออกจากผืนน้ำแข็งอลาสก้า และมันก็หายไปตลอดกาล หลายฝ่ายเชื่อว่ามันคงจมอยู่ใต้ท้องทะเลเพราะหมดสภาพ หรือมันยังคงลอยละล่องอยู่ในทะเลน้ำแข็งแถบขั้วโลกเหนืออยู่ไม่ได้ไปไหน  ทุกวันนี้ชะตากรรมของเรือเบย์ชิโม่ยังคงลึกลับ


อันดับ  ๘ เรืออีลิซ่า แบตเทิล (Battle Eliza)


ในช่วงฤดูหนาว เวลาประมาณตีสอง ขณะที่เรือกำลังผ่านเมืองเพนนิงตัน(Pennington) ของรัฐอลาบามานั่นเอง จู่ๆ ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้น โดยเริ่มต้นเพลิงไหม้บนดาดฟ้าเรือก่อนที่จะลามไปถึงห้องควบคุมอย่างรวดเร็วเพราะกระแสลมแรง สุดท้ายเรือก็จมลงในที่สุด ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตมากมายถูกไฟครอกตายอย่างทรมาน ในขณะบางส่วนก็ช็อกตายจากลงแช่น้ำเย็นจัดหลังจากกระโดดลงน้ำเพื่อหนีเอาชีวิตรอด
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีคนพบเห็นเรือผีอีลิซ่า แบตเทิลล่องลอยตามแม่น้ำทอมบิ๊กบี อลาบามา ในจุดใกล้กับเรือล่ม โดยมันมักปรากฏในฤดูใบไม้ผลิต เวลาที่มีพระจันทร์เต็มดวง เรือจะโผล่พ้นจากน้ำ พร้อมเสียงดนตรีเต้นรำเหมือนมีงานเลี้ยง บรรยากาศโดยรอบเย็นและลมแรง ก่อนที่เรือผีดังกล่าวจะเกิดเพลิงไหม้ที่ด่านฟ้าแล้วลุกท่วมเรือและจมลงในที่สุด เหมือนเอาภาพโศกนาฏกรรมของเรืออีลิซ่า แบตเทิลครั้งนั้นมาฉายซ้ำไม่มีผิด ซึ่งตามความเชื่อของคนท้องถิ่นแล้วการพบเห็นเรือดังกล่าวจะนำมาซึ่งความโชคร้ายแก่บุคคลนั้นๆ









อันดับ ๖  เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน (Flying Dutchman)
เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนเป็นเรือผีที่มีชื่อเสียงที่สุดที่เรารู้จัก เนื่องจากชื่อดังกล่าวปรากฏในสื่อต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่องไพเรทส์ ออฟ เดอะ แคริบเบียน (Pirates of the Caribbean) ซึ่งตามตำนานยุโรปสมัยกลางแล้วเรือดังกล่าวเป็นเรือผีที่ต้องคำสาปให้เดินทางในมหาสมุทรชั่วกัลปาวสาน





อันดับ ๕ เรือยัง ทีเซอร์(Young Teazer)
เรือยัง ทีเซอร์เป็นเรือผีโจรสลัดที่มักปรากฏตัวในอ่าวมาโฮม(Mahone) โนวาสโกเชีย(Nova Scotia) ประเทศแคนาดา



อันดับ ๔ เรือออคตาเวียส(Octavius)



เรือออคตาเวียสนั่นได้ออกจากประเทศอังกฤษเมื่อปี ๑๗๖๑ ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือก่อนที่จะหายสาบสูญไป แต่เชื่อว่าเรือได้ถูกติดน้ำแข็งขณะที่อ่านภาคเหนือของอลาสก้า(Alaska)ที่หนาวเย็นจนลูกเรือตายหมด และด้วยสาเหตุใดไม่ทราบเรือดังกล่าวยังสามารถแล่นต่อไปยาวนานถึง ๑๓ ปี ก่อนที่เรือจะหยุดลงเพราะติดน้ำแข็งที่เกาะกรีนแลนด์ดังกล่าว ทุกวันนี้ไม่มีใครรู้เส้นทางเดินเรือที่แท้จริงของเรือที่เผชิญโศกนาฏกรรมดังกล่าวเลย และก็ไม่มีใครรู้ว่าตำนานดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่?


อันดับ ๓ เรือเลดี้ โลวี่บันด์ (The Lady Lovibond)
วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๑๗๔๘ ที่ประเทศอังกฤษ มีชายคนหนึ่งชื่อ ไซม่อน พีล(Simon Peel) ได้จัดงานแต่งงานระหว่างเขาและเจ้าสาวคนหนึ่ง บนเรือเลดี้ โลวี่บันด์ ซึ่งเป็นรือใบซคูเนอร์ลำใหญ่ ซึ่งเขาเป็นกัปตันอยู่ ซึ่งปกติแล้วความเชื่อของลูกเรือได้กล่าวว่าไม่ควรนำผู้หญิงขึ้นไปบนเรือเพราะมันจะนำมาซึ่งความหายนะ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ


หลังจากนั้นอีก ๕๐ ปีต่อมาเรือเลดี้ โลวี่บันด์ก็ได้กลายเป็นเรือผีวิญญาณหลอนที่ปรากฏตัวให้ทุกคนได้เห็น โดยเรือได้ปรากฏครั้งแรกในปี ๑๗๙๘  และจะปรากฏตัวทุกวันที่ ๑๓  กุมภาพันธ์ ในทุกสิบห้าปี คือปี ๑๘๔๘, ๑๘๙๘, ๑๙๔๘  ตามลำดับ โดยลักษณะการปรากฏตัวแตกต่างกันออกไป เช่นเรือในรูปซากปรักหักพังหรือเรืองแสงสีเขียวประหลาด อย่างไรก็ตามในมันไม่ได้ปรากฏครั้งล่าสุดในปี ๑๙๙๘แต่กระนั้นที่แหลมกู๊ดวินด์นั้นก็ยังมีรายงานการพบเห็นเรือผีนอกเหนือจากเรือเลดี้ โลวี่บันด์ในลักษณะที่น่าสะพรึงกลัวอยู่บ่อยครั้ง

อันดับ ๒ เรือแมรี่ เซเลสต์(Mary Celeste)







อันดับ ๑ เรือเมดัง โอรัง(Medan Ourang)


หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้รับข้อความที่สองโดยเสียงผ่านวิทยุติดต่อโดยพูดสั้นๆ ว่า “ฉันตาย” และเมื่อสามารถระบุหาตำแหน่งเรือดังกล่าว พวกเขาจึงรีบนำกำลังไปช่วยเหลือ หากแต่เมื่อมาถึง พวกเขาก็พบว่าเรืออยู่ในสภาพเรือแตกกลางทะเลแถวช่องแคบมะละกา(Strait of Malacca)  และเมื่อขึ้นไปบนเรือก็พบว่าลูกเรือทั้งหมดและกัปตันเรือตายหมด แต่ที่น่าขนหัวลุกก็คือ เกือบทุกศพดวงตาของพวกเขาได้เปิดโพลง ใบหน้าแสดงสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด แขนยื่นไปยังดวงอาทิตย์(บางคน เอามือชี้ไปยังสิ่งที่มองไม่เห็น) นอกจากนี้พวกเขายังพบศพของสุนัขโดยสภาพตัวแข็งที่ทำหน้าแยกเขี้ยวเหมือนกำลังอะไรบางอย่างอยู่ และที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นทุกศพไม่มีบาดแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งสิ้น
ต่อมาระหว่างที่เรืออเมริกันกำลังลากเรือลำเจ้าปัญหาอยู่นั่น จู่ๆ ก็ได้เกิดไฟไหม้ลึกลับขึ้น ทำให้จำเป็นต้องตัดลวดที่ล่ามกับเรือนี้ออก และเรือดังกล่าวก็เกิดระเบิดขึ้นและจมหายไปในท้องทะเลในที่สุด  ทำให้ปริศนาดังกล่าวไม่สามารถไขออกจนถึงปัจจุบัน ทำให้มีหลายข้อสันนิษฐานเพื่ออธิบายเรื่องดังกล่าวตามมามากมาย บางคนบอกว่าเรืออาจถูกโจมตีโดยจานผีจากต่างดาว หรืออยู่พื้นที่สามเหลี่ยมอาถรรพณ์  หรืออาจเกิดพิษคาร์บอนมอนอกไซด์จากวัสดุอันตรายที่คนบนเรือแอบบรรทุกขึ้นมาอย่างลับๆ  หากแต่มาเกิดเหตุก๊าซรั่วเสียก่อน จนคนบนเรือตายหมด แต่กระนั้น จนถึงทุกวันนี้เรื่องที่เกิดขึ้นบนกับลูกเรือเมดัง โอรังทั้งหมดยังคงลึกลับ

เรื่องราวได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน ๑๙๔๗ เมื่อเรือสัญชาติอเมริกันได้รหัสมอร์สประหลาดที่บ้าคลั่งจากเรือบรรทุกสินค้าเรือเมดัง โอรัง ซึ่งเป็นเรือของชาวดัตช์ ที่กำลังเดินทางไปเมืองเมดาน(Malay) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดบนเกาะสุมาตรา โดยข้อความรายงานว่า “ลูกเรือทั้งหมดรวมทั้งกัปตัน นอนตายอยู่ในห้องนั่งเล่นและสะพานเรือ เป็นไปได้ว่าลูกเรือทั้งหมดตายแล้ว”

มีหลายทฤษฏีที่อธิบายเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้นกับเรือแมรี่ เซเลสต์ คนบนเรือถูกฆ่าโดยโจร ฝีมือของผีและสัตว์ยักษ์จากทะเล หรือถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว แต่ทฤษฏีที่หลายคนยอมรับมากที่สุดคือเรือแมรี่ เซเลสต์เผชิญกับพายุหรือคลื่นลมแรง ทุกคนเลยสละเรือและต่อมาก็เสียชีวิตในทะเลทั้งหมด ต่อมาเรือดังกล่าวก็ถูกขายเปลี่ยนมือหลายครั้ง ท้ายสุดมันก็ถูกจมทิ้งเพื่อหวังเงินประกันใกล้ ๆ เกาะเฮติ(Haiti) ในปี ๑๘๘๔

เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันที่ ๔ ธันวาคม ๑๘๗๒  เมื่อเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอังกฤษชื่อ เดอี กราเซีย(Dei Gratia) ได้เห็นเรือแมรี่ เซเลสต์ ซึ่งเป็นเรือใบสองเสาขนาด ๑๐๐ ฟุตลำหนึ่งที่ร้างคนและลอยอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายกลางทะเลมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ ระหว่างประเทศโปตุเกสกับหมู่เกาะอะซอเรส(Azores) โดยเรือแมรี่ เซเลสต์นั่นได้แล่นออกจากนิวยอร์คไปเจนัว ในวันที่ ๗ พฤศจิกายน เพื่อส่งสินค้าเป็นสุรา โดยสมาชิกเรือประกอบด้วยกัปตันบริกก์(Captain Briggs) ภรรยา ลูกสาว ลูกเรือ และผู้โดยสาร รวมทั้งหมด ๑๐ คน หลังจากสำรวจบนเรือแมรี่ เซเลเลสต์ ก็พบว่าไม่มีร่องรอยคนอยู่บนเรืออยู่เลย อีกทั้งสภาพในเรือก็น่าพิศวงเพราะทุกอย่างบนเรืออยู่ในสภาพที่ราวกับว่าเพิ่งมีคนอยู่ที่นั่นจนถึงเมื่อครู่ บ่บอกอย่างชัดเจนว่าสละเรือเป็นไปอย่างเร่งรีบโดยไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน นอกจากนั้นยังไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ ทรัพย์สินมีค่าต่างๆ บนเรือยังอยู่ครบถ้วน ยกเว้นสุราหายไป ๙ บาร์เรล และที่น่าตกใจก็คือวันสุดท้ายที่มีการบันทึกคือเรือได้ผ่านอะซอเรสเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน หากตำแหน่งเรือปัจจุบันจะพบว่าเรือแมรี่ เซเลสต์ กางใบแล่นมาโดยปราศจากคนบังคับเกือบ ๑๐๐ ไมล์

เรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเรือแมรี่ เซเลสต์ยังเป็นปริศนาที่ดำมืดไขไม่ออกจนถึงปัจจุบัน จนถูกขนามนามว่าเป็นเรื่องลึกลับทางทะเลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่น่าหลงใหลและสร้างความพิศวงให้แก่หลายคนจนถึงปัจจุบัน

ในตอนแรกที่เรือออกจากชายฝั่ง งานแต่งงานของไซม่อนนั้นราบรื่น เรือได้ล่องไปยังโปรตุเกสตามกำหนดการ ยกเว้นต้นหนประจำเรือคนหนึ่งชื่อจอห์น ริเวอร์ส(John Rivers ) เกิดไปหลงรักภรรยาของกัปตันเรือไซม่อนเข้า  ทำให้เขาเกิดความริษยา ความหึงหวง ด้วยความโกรธเขาจึงบังคับเรือเลดี้ โลวี่บันด์ ไปพุ่งชนที่แหลมกู๊ดวินด์(Goodwin Sands) ทางชายฝั่งตะวันออกเฉียง เหนือของอังกฤษ ส่งผลทำให้กัปตันหนุ่มและแขกที่กำลังฉลองการแต่งงานบนด่านฟ้าของเรือตายหมด



ในวันที่  ๑๑ ตุลาคม ๑๗๗๕  เรือล่าวาฬลำหนึ่งชื่อเฮราลด์(Herald) ได้สะดุดพบเรือใบลำหนึ่ง ชื่อออคตาเวียสเข้าโดยบังเอิญทางตะวันตกของเกาะกรีนแลนด์(Greenland) เรืออยู่ในสภาพถูกทิ้งและอยู่ในสภาพจับตัวเป็นน้ำแข็งไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ และเมื่อทำการสำรวจดูบนเรือลำดังกล่าวก็พบว่าลูกเรือตายหมดและทั้งหมดอยู่ในสภาพแช่แข็งเย็นจัด ส่วนกัปตันเรือตายในลักษณะนั่งคว่ำหน้าทับสมุดบันทึกเดินเรือ ในมือถือปากกาเหมือนจะเขียนอะไรบางอย่าง  และนอกจากกัปตันแล้วยังมีเด็กสาวที่ตายในสภาพห่มผ้าบางๆ อยู่ใกล้ๆ เมื่อพวกเขาอ่านบันทึกเรือดูก็ตกใจมากเพราะว่าบันทึกดังกล่าวได้หยุดลงวันที่ ๑๗๖๒ แสดงให้เห็นว่าหลังทุกคนบนเรือตายหมดเรือลำนี้ได้เดินทางอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายทั้งที่ไม่มีคนบังคับเรือมานานถึง ๑๓ ปี

ครั้งหนึ่งเรือยัง ทีเซอร์เคยเป็นเรือใบซคนูเนอร์ของเอกชนอเมริกันที่สร้างขึ้น เพื่อใช้เป็นเรือโจรสลัดดักปล้นเรือของจักรวรรดิอังกฤษนอกชายฝั่งทะเลแฮลิแฟกซ์(Halifax) ตัวเรือดังกล่าวมีชื่อในความเร็วที่น่าทึ่ง ทำให้เหมาะแต่การหลบหนี จนกระทั้งในปี ๑๘๑๓ เรือโจรสลัดยัง ทีเซอร์ได้ถูกดักโจมตีโดยเรือรบอังกฤษในอ่าวมาโฮม โนวาสโกเชีย(Nova Scotia) ประเทศแคนาดา  The pirate ship's captain Frederick Johnson knew that the game was up.กัปตันโจรสลัดเฟรเดอริค จอห์นสัน(Frederick Johnson) รู้ตัวดีว่าอีกหากเขาและลูกเรือถูกจับจะต้องโทษจำคุกหรือไม่ก็ถูกประหาร ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาและลูกเรือทั้งหมด ๓๐ ชีวิตต้องฆ่าตัวตายโดยการระเบิดเรือ ทั้งหมดก็ถูกไฟคลอกตายและเรือก็จมลงในที่สุด แต่กระนั้นทุกวันนี้หลายคนยังเห็นเรือดังกล่าวปรากฏตัวในจุดเดียวกับที่เรือล่ม ของคืนพระจันทร์เต็มดวง โดยอยู่สภาพเปลวเพลิงลุกไหม้ทั่วเรืออย่างน่าขนหัวลุก พร้อมเสียงโหยหวนอย่างสยดสยองของลูกเรือโจรสลัดที่พยายามหนีจากเพลิงไหม้ ก่อนที่เรือจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยท่ามกลางคืนที่มืดมิด เหลือไว้แต่หมอกควัน

หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีรายงานการพบเห็นเรือผีฟลายอิ้ง ดัตช์แมนในมหาสมุทรทุกมุมโลก  ตั้งแต่คริสต์สตวรรษที่ ๑๗ โดยมักปรากฏตัวในคืนที่มีหมอกหนาทึบ บางครั้งพบเห็นเป็นแสงประหลาดในเวลากลางคืน ในรูปของเรือสำเภาสามใบเสา พร้อมกรีดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งชวนขนลุก โดยบุคคลสำคัญที่ได้พบเห็นเรือดังกล่าวก็มีมายมาย เช่น สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ ๕ (King George V) ในขณะประจำการอยู่บนเรือรบนอกชายฝั่งออสเตรเลีย ในค.ศ. ๑๘๘๐  นอกจากนี้ยังมีจอมพลเรือคาร์ล เดอนิทซ์(Karl Doenitz) แห่งราชนาวี ที่ได้บันทึกว่าเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนแล่นผ่านเรือของเขาไปในปี ค.ศ. ๑๙๔๒

ตำนานที่มาของเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนนั้นมีมากมายหลายแหล่ง แต่ตำนานที่เรารู้จักกันคือเรื่องราวกัปตันชาวดัตช์คนหนึ่งชื่อ แวน แดร์ เดคเคน (Van Der Decken) ที่เดินเรือไปอัมสเตอร์ดัมแต่ระหว่างทางกลับพบสภาพอากาศที่เลวร้ายในแหลมกู๊ด โฮป(Good Hope) ประเทศแอฟริกาใต้ เขาพยายามนำเรือผ่าพายุทั้งที่หลายฝ่ายคัดค้านจนเรือชนโขดหินจนเรือใกล้ล่ม แต่กัปตันยังคงดื้อดึงพร้อมพ่นคำหยาบต่อฟ้า และนั้นเองทำให้เขาต้องคำสาปคือเขาจะต้องเดินเรือไปทั่วมหาสมุทรชั่วนิรันดร์พร้อมกับลูกเรือผีของเขา และเรือของเขาจะนำมาซึ่งหายนะแก่ผู้พบเห็น



เรื่องราวลึกลับได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ ๓ ตุลาคม ในปี ๑๙๕๕ เมื่อเรือยอชท์ลำดังกล่าวได้บรรทุกผู้โดยสารกว่า ๒๕ ชีวิต(ลูกเรือ ๑๖ คนและผู้โดยสาร ๙ คน ประกอบไปด้วยข้าราชการ เด็กสองคน และศัลยแพทย์ที่กำลังเดินทางไปผ่าตัด) ทั้งหมดขึ้นบนเรือโดยแล่นออกจากซามัว(Samoa)ไปยังหมู่เกาะโตเกเลา (Tokelau)ระยะทางประมาณ ๒๗๐  ไมล์ทะเล(๔๓๐ กิโลเมตร) แต่การเดินทางค่อนข้างล่าช้า เนื่องจากเกิดความผิดปกติของเครื่องยนต์หลัก หากแต่เรือลำดังกล่าวยังสามารถแล่นได้  จนกระทั้งวันที่ ๖ ตุลาคม เรือก็หยุดการติดต่อและได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้มีค้นหาทางอากาศครั้งใหญ่ครอบคลุมพื้นที่น่าจะเป็นไปทั่วมหาสมุทรแปซิกใต้ แต่ไม่พบเรือดังกล่าวเลย จนกระทั้งห้าสัปดาห์ต่อมาเรือก็ถูกพบแถวเส้นทางเดินเรือจากซูวา(Suva)ไปฟูนะฟูตี(Funafuti) ซึ่งห่างจากเส้นทางเดินทางของเรือดังกล่าวถึง ๖๐๐ ไมล์(๑,๐๐๐ กิโลเมตร) ในสภาพจมเกือบจมและเครื่องยนต์หลายเครื่องเกิดความเสียหาย ไม่มีร่องรอยเกี่ยวกับผู้โดยสารทั้งหมด สินค้าหนักกว่าสี่ตันและแพช่วยชีวิตสามลำหายไป  นาฬิกาบนเรือหยุดอยู่ที่ ๑๐.๒๕ น. วิทยุเรือถูกปรับเพื่อขอความช่วยเหลือสากล กระเป๋าแพทย์บนด่านฟ้าข้างในมีผ้าพันแผลและมีดผ่าตัดที่เปื้อนเลือด ทำให้มีข้อสันนิษฐานมากมายตามมา เป็นต้นว่า คนบนเรือถูกกโจรสลัดฆ่าและศพถูกโยนลงทะเล หรือไม่ก็ถูกลักพาตัวโดยทหารญี่ปุ่น หรือเป็นโกงเงินประกันภัย ต่อมาเรือลำดังกล่าวก็ถูกซ่อมแซมและขายให้คนอื่นไป และสุดท้ายเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเรือเอ็มวี โจวิต้าก็คงยังลึกลับจนถึงปัจจุบัน

เรือเอ็มวี โจวิต้าเป็นเรือยอชท์สุดหรูของผู้กำกับภาพยนตร์โรแลนด์ เวส(Roland West) สร้างขึ้นในปี ๑๙๓๑ ในลอสแอนเจลิส ก่อนที่จะเปลี่ยนมือเจ้าของหลายคนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒  เพื่อใช้เป็นเรือการค้า เรือประมง และเรือเช่าเหมาลำ ตระเวนไปรอบๆ ฝั่งของฮาวาย แปซิฟิกใต้

อันดับ ๗ เรือเอ็มวี โจวิต้า(MV Joyita)

เรืออีลิซ่า แบตเทิลเป็นเรือกลไฟขนาดใหญ่ ที่บรรทุกของได้ถึง ๓๑๖ ตัน เปิดตัวครั้งแรกในประเทศอินเดียเมื่อปี ๑๘๕๒  ก่อนที่จะใช้งานเป็นเรือเดินทางขนส่งในแม่น้ำทอมบิ๊กบี(Tombigbee) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่อยู่ระหว่าง มิสซิสซิปปี(Mississippi)และอลาบามา(Alabama) จนกระทั้งเรือจมเพราะเหตุเพลิงไหม้เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๑๘๕๘



หนึ่งในกรณีที่ น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเกี่ยวกับเรือผีของจริง ก็คือกรณีเรือสินค้าเดินสมุทรลำหนึ่งชื่อเรือเบย์ชิโม่ ที่ถูกทิ้งจนเป็นเรือร้าง แต่มันยังสามารถลอยทะเล ท่องมหาสมุทรแถวอลาสก้ากว่า ๔ ทศวรรษ หรือกว่า ๓๘ ปี โดยไม่มีกัปตันและลูกเรือขับมันเลยแม้แต่คนเดียว

              เรือคาร์โรลล์ เอ.เดียริ่ง เป็นเรือที่ถูกสร้างขึ้นในปี ๑๙๑๑โดยชื่อมาจากลูกชายเจ้าของเรือ โดยเที่ยวสุดท้ายของเรือดังกล่าวได้ขนส่งถ่านหินมุ่งหน้าไปรีโอ เดอ จาเนโร(Rio de Janeiro) ประเทศบราซิล ในวันที่ ๑๙ สิงหาคม  ๑๙๒๐ โดยคนบนเรือประกอบด้วยวิลเลี่ยม เอซ เมอร์ริท(William H. Merritt) เพื่อนของเขา ลูกชายของเขา และลูกเรือ ๑๐ คนจากสแกนดิเนเวีย(ส่วนใหญ่เดนมาร์ก) ต่อมาลูกเรือสองคนเกิดป่วยทำให้มีการเปลี่ยนตัวลูกเรือขึ้นบนเรือเพื่อทดแทนจำนวนดังกล่าว